ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมะไม่มีแก่

๒๕ ก.ค. ๒๕๕๘

ธรรมะไม่มีแก่

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่อง “นิวรณ์

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีโอกาสได้ปฏิบัติที่วัด  วัน ได้รับความสงบร่มเย็นและกําลังใจในการสร้างความเพียรอย่างมาก ตอนแรกลูกก็ตั้งใจว่าจะฝึกปฏิบัติตามคําสอนของหลวงพ่อให้พอมีหลักเสียก่อน แล้วจึงค่อยกราบเรียนหลวงพ่อ แต่สุดท้ายก็เขียนมาเพราะความอยาก ขอความเมตตาหลวงพ่อเทศน์สอนด้วยเจ้าค่ะ

หลังกลับจากวัด ลูกก็ไปปฏิบัติในแต่ละวันเช่นเคย แต่มีความรู้สึกว่าจิตนี้มันเศร้าอยู่ลึกๆ ลูกพยายามปฏิบัติไปและพิจารณาหาสาเหตุ แม้ภาวนาไม่สงบมากนักก็พอจะจับได้ว่ามันกังวลถึงอนาคตว่า ขณะนี้เราอยู่ในช่วงครึ่งปลายพระพุทธศาสนา พ่อแม่ครูอาจารย์ที่จะคอยเมตตาอบรมสั่งสอนก็ค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเราก็จะภาวนาจนพอได้หลักได้เกณฑ์เอาตัวรอดได้หรือเปล่า

พอรู้ตัวว่ามีอารมณ์กังวลอยู่ ลูกก็พยายามเตือนตัวเองว่ามันเป็นนิวรณ์ที่คอยดึงเราออกจากการภาวนาปัจจุบัน พอจะดีขึ้นเจ้าค่ะ แต่ก็ยังเป็นความคิดนั้นอยู่จางๆ ไม่หายไปทั้งหมด ลูกก็เลยทําได้แค่ภาวนาต่อไปโดยไม่สนใจความคิดนั้นกราบขออุบายพิจารณาด้วยเจ้าค่ะ

เวลานั่งสมาธิ ลูกฝึกบริกรรมพุทโธ แต่ยังไม่เป็นสมาธินัก และยังเห็นความคิดแทรกมาระหว่างที่นึกพุทโธ ซึ่งลูกก็ยังหาทางฝึกต่อไปเจ้าค่ะ เมื่อวานลองตั้งสติชัดๆ เพื่อดักคอยจับความคิด กลับรู้สึกว่าไม่ค่อยมีความคิดโผล่เหมือนว่าพอจะจ้องจับความคิด ความคิดก็ไม่ยอมโผล่ แต่เมื่อไหร่นึกคําบริกรรมความคิดก็โผล่มาคิดแข่ง ลูกควรแก้ไขอย่างไรเจ้าคะ

ตอบ : นี่คําถาม  ข้อ ข้อที่ เวลาประพฤติปฏิบัติ เราก็มาห่วงหาอาวรณ์ว่าต่อไปครูบาอาจารย์ท่านจะน้อยลง แล้วเราจะปฏิบัติไปได้มากน้อยขนาดไหน

คนเรา ดูสิ คนที่ไม่ศรัทธา ไม่ศรัทธานะ เขาก็อยู่ประสาโลกของเขา เวลาคนออกไปอยู่วัดอยู่วา เขาก็หาว่าคนนี้ไม่สู้สังคม คนที่ไปบวชพระ เขาว่าพวกนี้พวกจนตรอกไปบวชพระบวชเจ้า เขาเป็นคนเก่ง เขาเป็นคนขยันหมั่นเพียร เขาเป็นคนประสบความสําเร็จในชีวิต นี่เขาคิดของเขาไปไง นี่เวลาคิด คิดอย่างนั้น นี่คนที่ไม่ศรัทธา

เวลาคนมีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา นี่ศรัทธานะ ถ้าศรัทธาแก่กล้า โอ้โฮศรัทธานี่ศิโรราบเลย เชื่อไปหมดเลย ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ไอ้นั่นก็ศรัทธาไม่มีเหตุมีผล ไอ้คนเราไม่ศรัทธาก็ไม่ศรัทธาเลย เห็นคนไปวัดไปวา เห็นคนไปสละทาน มันก็คิดแปลกเนาะ เอ๊ทําไมเขาทํากันอย่างนั้น นี่ถ้าคนไม่ศรัทธา ไอ้คนศรัทธาหรือ มันก็ศรัทธาจนไม่มีปัญญา ศรัทธาจนให้คนชักนําไปทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปไม่มีเหตุมีผลเลย

แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราประพฤติปฏิบัติ เรามีศรัทธา เราต้องมีปัญญาด้วย เรามีศรัทธานะ ศรัทธาตรงไหน ศรัทธาเพราะว่า สิ่งที่ศรัทธามันเป็นทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ ศรัทธาคือเจตนา คือความคิดตั้งต้นของเรานี่ ถ้ามันมีเหตุมีผลนะ มันจะเป็นประโยชน์กับเรามากเลย แต่ถ้าความคิดของเรามันเฉไฉมันไม่มีเหตุมีผล ความคิดของเราชักนําให้เราเสียหายไปทั้งนั้นเลย นี่ความคิดเราทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น ถ้าเรามีศรัทธา เรามีปัญญาไตร่ตรองของเรา ถ้ามีปัญญาไตร่ตรองของเรา เราจะมาประพฤติปฏิบัติ

เห็นไหม เวลาเราไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ไม่ห่วงหาอะไรเลย โลกเป็นอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของโลกใช่ไหม เราก็เป็นเรื่องของเรา แต่พอเราอยากจะมาประพฤติปฏิบัติ เรามาลองฝึกหัดปฏิบัติ พอมาปฏิบัติ เป็นกังวลแล้ว เพราะอะไรเพราะเราเชื่อ เราเชื่อเราศรัทธา แล้วเรามีปัญญาด้วย เรามีปัญญานะ ว่าการประพฤติปฏิบัติมันสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรื้อค้นของท่านท่านสิ้นกิเลสของท่านไป

ฉะนั้น หลวงปู่มั่นเวลาท่านฝึกหัดลูกศิษย์ “พระภิกษุ หมู่คณะให้ปฏิบัติมานะแก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” ท่านห่วง ท่านโหยหา ท่านอาลัยอาวรณ์ ท่านอยากจะให้จิตนี้ได้สัมผัสความจริง เวลาท่านจะแก้จิตๆ ไง ฉะนั้น ถ้าจะแก้จิต สิ่งที่ว่าแก้จิต เวลาท่านล่วงไปแล้ว เวลาหลวงตาไปอยู่กับท่าน เวลาจิตมันดื้อ เวลาจิตมันดื้อนะ เวลาทําสมาธิไม่ได้ ทําสมาธิลงก็ลงไม่ได้ เวลาใช้ปัญญาไปแล้ว ปัญญากิเลสมันก็สอดแทรกไป มันดื้อรั้นตลอด แล้วเวลาไปหาครูบาอาจารย์องค์ใดเวลาเขาสอนน่ะ หลวงตาท่านพูดเอง “ความรู้แค่นี้หรือจะมาสอนเรา

เพราะความรู้ของเราใช่ไหม เราประพฤติปฏิบัติใช่ไหม กว่าจะเป็นสมาธิ พอฝึกหัดใช้ปัญญาได้ แล้วคนที่มันสอนเรานี่มันสัญญาทั้งนั้นน่ะ มันเป็นทฤษฎี มันหมุนอยู่นั่นน่ะ มันไปไหนไม่รอดหรอก “คนอย่างนี้หรือจะมาสอนเรา” แต่พูดในใจนะ ถ้าพูดออกไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าเขาเป็นปัญญาชน เขามีปัญญามากเขานักค้นคว้า เขาเก่ง แต่ความเก่งของเขาเก่งโดยทิฏฐิมานะ เก่งโดยที่เขาไม่รู้ตัวเขาเองเลย

แต่เวลาหลวงตาท่านเรียนจบมหามา เวลาท่านไปฝึกหัดกับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดมีเหตุมีผล ท่านพูดดักความคิดเราได้ ท่านพูดพยายามปิดล้อมไม่ให้ความคิดเราออกได้ ท่านมีเหตุมีผลว่าไอ้สิ่งที่มันฉุดให้เราคิดไป มันเป็นความสุดความสามารถ มันเป็นเหมือนกับสุดวิสัยของเรา เหมือนช้างสารที่ตกมันดูสิ มันฟาดงวงฟาดงาอยู่ในใจของเรา เราไม่รู้ตัวเลย แต่พอหลวงปู่มั่นท่านคอยชี้แนะคอยบอกขึ้นมา เราก็ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันตามความเป็นจริง

เวลาในตํารา ตําราก็บอกวิธีการทั้งนั้นน่ะ แต่เราไม่เคยเห็นร่องเห็นรอยของจิตเลย เราไม่เคยเห็นร่องเห็นรอยของสติเลย เราไม่เคยเห็นร่องเห็นรอยของสมาธิเลย เราไม่เคยเห็นร่องเห็นรอยของปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากจิตเลย เราไม่เคยเห็นเลย แต่เรามีปัญญามาก เพราะเรามีสัญญา เรามีสัญญา มีความเชื่อ เราไปค้นคว้านะ อู๋ยเก่งมาก

มีความรู้แค่นี้หรือจะมาสอนเรา ความรู้อย่างนี้หรือจะมาสอนเรา” นี่หลวงตาเวลาท่านไปฝึกหัด แล้วมีครูบาอาจารย์มาแนะมานํา ท่านคิดในใจเลย “อ๋อมีความรู้อย่างนี้หรือจะมาสอนเรา

แต่เวลาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านศึกษาค้นคว้ามาโดยภาคปฏิบัติของท่าน ท่านเห็นร่องเห็นรอย เห็นสติ เห็นกิเลส เห็นตัณหาความทะยานอยากเห็นความพลิกแพลงของมัน ท่านถึงบอก “จิตนี้แก้ยากนัก จิตนี้แก้ยากนัก

คนที่เคยเห็นจิตของตัวเอง คนที่เคยพัฒนาของตัวเองขึ้นมา มันจะรู้เลยว่างานนี้สาหัสสากรรจ์ งานนี้ทุกข์ยากนัก งานนี้ต้องมีการกระทําเต็มที่นัก แล้วท่านทําของท่านมา เห็นไหม เพราะท่านเคยทําของท่านมา ท่านถึงมีสติปัญญาของท่าน ท่านถึงบอกเราได้เลย บอกดักหน้าความคิดได้เลย บอกดักหน้าจิตได้เลยบอกดักหน้ากิเลสได้เลย แล้วท่านบอกเวลาหลวงตาท่านปฏิบัติไป โอ๊ะโอ๊ะมันเป็นอย่างนั้นน่ะ พอมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมา มันเป็นความจริงอย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะนิพพานไป หลวงตาท่านถึงไปนั่งที่ปลายศพปลายเท้าหลวงปู่มั่น จิตดวงนี้มันดื้อ มันไม่ยอมฟังใคร มันยอมฟังอยู่องค์เดียวคือหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นก็มานิพพานต่อหน้า ทั้งๆ ที่จิตนี้มันก็ยังไม่สิ้น นั่งร้องไห้อยู่ที่ปลายเท้าหลวงปู่มั่นตลอด นี่เวลาเคารพบูชา เคารพบูชาอย่างนั้นเพราะว่าท่านทําให้ ท่านสั่งสอนมา มันมีเหตุมีผล นี่เวลาคนเคารพบูชากัน เห็นไหม เคารพบูชาอย่างนั้น

ฉะนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์หลวงปู่มั่นเวลาท่านปฏิบัติขึ้นมาตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้ว ท่านเห็นเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส ท่านถึงสอนพวกเราทีนี้สอนพวกเรา ครูบาอาจารย์ที่ไปอยู่กับท่าน สิ่งนั้นท่านถึงโหยหา ถึงปรารถนาให้หลวงปู่มั่นสอน หลวงปู่มั่นท่านก็ตายไปแล้ว ฉะนั้น เวลาเราอยากประพฤติปฏิบัติ เรามาปฏิบัติ เราก็อยากจะหาคนสอนเราๆ

แต่เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ไหนก็แล้วแต่ ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงท่านก็ดักหน้าดักหลังความคิดเรา อึดอัดไปหมด อาจารย์ลําเอียง คอยจับผิดอะไรก็จะว่าๆ อย่างเดียวเลยล่ะ

ก็มึงอยากจะรู้จักกิเลสมึงไง ก็เอ็งอยากจะปฏิบัติไง ก็เอ็งอยากจะทํา เพราะอะไร เพราะเอ็งไม่รู้จักกิเลสเลย เอ็งประพฤติปฏิบัติจะให้คนยกย่องบูชาใช่ไหมเอ็งมาประพฤติปฏิบัติ เอ็งจะให้คนยอมรับนับถือเอ็งหรือ ยอมรับนับถือมันก็เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นน่ะ

นี่พูดถึงสังคมโลกที่เขาคิดไง เวลาเขาไม่ศรัทธา เขาก็ไม่ศรัทธาเลย เขาเห็นว่า เอ๊ะคนเราต้องทํามาหากิน ต้องมีความเพียร มีความบากบั่น มันถึงจะเจริญรุ่งเรือง อะไร ไปถือพรหมจรรย์ ไปเป็นนักบวช ไปถืออย่างนั้นมันจะเจริญได้อย่างไร

อ้าวมันเจริญโดยธรรมาภิบาล เจริญโดยธรรมนะ คนที่มีธรรมนะ เวลามันมีสิ่งใดเป็นประโยชน์นะ ทรัพย์สมบัตินั้นเป็นประโยชน์หมด คนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันหาทรัพย์สมบัตินั้นมา ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองด้วย แล้วไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย เอาไปสะสมไว้ ไม่ได้เกิดมูลค่าใดๆ เลย

แต่คนที่มีคุณธรรมในหัวใจเขาหาของเขามานะ เขาใช้ประโยชน์ของเขานะเขายังสร้างคุณงามความดี เขาสร้างอํานาจวาสนาบารมี เขาต้องสร้างให้หัวใจของเขามีอํานาจวาสนาบารมีต่อไปด้วย

เวลาคนที่ไม่มีศรัทธาก็คิดไปอย่างนั้น เวลาคนมีศรัทธา ศรัทธาก็ศรัทธาให้เขาจูงจมูกไปเลย ใครพูดอย่างไรก็เชื่อ ใครพูดอย่างไรก็เชื่อ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกาลามสูตรไง ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อทั้งสิ้น ให้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมาจะเป็นจริงขึ้นมา

แล้วเวลาเป็นจริงขึ้นมาด้วยกิเลสก็คิดอย่างนี้ เขาบอกว่า เขามาปฏิบัติแล้วพอจิตใจมันมีความคิดขึ้นมา มันกึ่งพุทธกาลแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็ร่วงโรยไปหมดเลย แล้วใครจะสั่งสอนเราล่ะ

เวลาพูดกันโดยสัจจะนะ ธรรมไม่เคยเสื่อม ใครจะทําความดีก็ดีของเขา แต่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เขาก็ยังไม่ได้คุณธรรมจริง ใครจะทําความชั่ว เขาก็ได้แต่ความชั่วของเขา ได้แต่บาปอกุศลของเขา ธรรมะนั้นก็ไม่เสื่อม

เวลาเป็นสัจธรรมจริงๆ สัจธรรมนั้นไม่มีอกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ธรรมะนั้นแจ่มแจ้งอยู่ตลอดเวลา มันมีความเสียหายอันเดียว ทําความเสียหายคือเราปฏิบัติเข้าไม่ถึงธรรมนั้น เราปฏิบัติเข้าไม่ถึงธรรมนั้น เราก็บอกว่ามันไม่มี มันไม่เป็น เป็นไปไม่ได้ เพราะเราเข้าไม่ถึงธรรมอันนั้น

แต่พอเราเข้าไปถึงธรรมอันนั้น เห็นไหม ธรรมนั้นอกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลาไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างสิ่งนั้นได้ แต่ความคิดของเรา ธรรมะมันจะแก่มันจะเฒ่า มันจะไม่ใช่โอกาสของเรา ไม่ใช่เวลาของเรา

กึ่งพุทธกาลไปแล้วจะเจริญอีกหนหนึ่ง พอหมดจากพระพุทธศาสนาเราไปสมณโคดม พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เอาข้างหน้า อนาคตวงศ์อีก  องค์ไปข้างหน้า เพราะอะไร เพราะธรรมะมันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริง

แล้วถ้าเป็นศรัทธาความเชื่อที่จูงจมูก ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมอยู่แล้ว เราเดินไปชนกับมัน ไม่ต้องทําอะไรเลย อยู่เฉยๆ นี่เป็นธรรมะ มันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราก็มาโหยหาว่าอาจารย์ร่วงโรยไปแล้ว

มันมี เวลาคนเจ็บคนป่วย เวลาเขาไปหาหมอ หมอทางแผนไทย ไปเจอหมอดีๆ โอ้โฮหมอสุดยอดเลย มันก็มีความหวังว่าจะหาย แล้วเขาดูหมอนะ เห็นหมอแก่ชราภาพ “โอ้ไม่ใช่หมอจะตายก่อนโรคเราหายเนาะ” มันคิดไปนู่นน่ะ มันวิตกกังวลไปหมดเลย โอ๋ยหมอรักษายังไม่ทันหาย หมอจะตายไปก่อน

นี่ก็เหมือนกัน หมอเขาเป็นหมอ เขาไปรักษาตัวเขาได้ หมอเขามียาของเขาเขารักษาตัวเขามา ไอ้เรา ความคิดของเรามันวิตกกังวลไปหมด พอไปเห็นหมอชราภาพ โอ๋ยกลัวหมอเขาตายไปก่อน โรคเราจะไม่หาย

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันคิด เห็นไหม กึ่งปลายพระพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ท่านก็ร่วงโรยไป น้อยไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเราจะปฏิบัติได้หลักได้เกณฑ์หรือไม่เราปฏิบัติได้เกณฑ์หรือไม่ อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ธรรมะไม่มีแก่มีเฒ่า ธรรมไม่มีแก่ ไม่มีแก่ ไม่มีเวลา เราทําของเรา

ฉะนั้น ไอ้ความวิตกกังวลอย่างนี้มันก็เป็นกิเลสอันหนึ่ง ถ้าพอเป็นกิเลสอันหนึ่ง เขาก็บอกว่าใช้ปัญญาของเขาไปแล้ว เขาก็ใช้ปัญญาของเขาว่านี่เป็นนิวรณธรรม ถ้าเป็นนิวรณธรรม เขาจะไล่ของเขา ถ้าไล่ของเขาแล้วมันก็วางได้ แต่มันก็วางไม่จบ มันก็มีความคิดจางๆ อยู่ในใจ

กราบขออุบายอาจารย์ด้วยเจ้าค่ะ

กราบขออุบาย มันก็วางไว้หมด เพราะกิเลส กิเลส ดูสิ เราเก็บสิ่งที่เป็นเชื้อไฟไว้ อย่างเช่นดินระเบิด เช่นต่างๆ พวกนี้มันเป็นวัตถุไวไฟ เราเก็บของเราไว้ ถ้าใครมาจุดไฟ ระเบิดทันที ถ้าดินปะสิว พวกปะทัด เราเก็บไว้ ถ้าเกิดความร้อน มันระเบิดทันที เราเกิดมาเป็นปุถุชน เรามีกิเลสไหม มี เรามีกิเลสฝังอยู่ในใจทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้นที่บอกว่า มันมีจางๆ มันมีความคิดในใจ

ก็เราไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์ถึงสะอาดบริสุทธิ์ พระอรหันต์ถึงไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าสิ่งนั้นมันเป็นสมมุติทั้งหมด เพราะการวิตกกังวลต่างๆ มันเกิดขึ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คือมันเกิดเป็นครั้งเป็นคราว แล้วเกิดดับๆ

คําว่า “เกิดดับ” มันเกิดดับตลอดเวลา แต่จิตมันคงที่ตลอด แต่จิตคงที่ จิตคงที่ด้วยอวิชชา จิตคงที่ด้วยภวาสวะ จิตคงที่ด้วยภพ แต่เวลาพระอรหันต์มันทําลายภพ ทําลายอวิชชา ทําลายทุกอย่างเลย พอทําลายทุกอย่าง มันจะว่าคงที่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่คงที่ มันก็มี อ้าวมันถึงไม่มีความกังวลไง มันไม่มีอะไรจางๆ จางๆ

เขาบอกว่า มันมีสิ่งใดจางๆ ให้ครูบาอาจารย์แนะนําด้วย

แนะนําคือของมันมีอยู่ ทําอย่างไร มันมีเชื้อมีไขอยู่ คนมีกิเลส คนมีอวิชชาอยู่ในใจ มันก็มีความวิตกกังวลในใจแน่นอน เพียงแต่ว่าเราจะมีสติปัญญารู้เท่ามันไหม ถ้ามีสติปัญญารู้เท่าแล้ว เราวาง แล้วเราก็ขวนขวายการปฏิบัติไป แล้วไม่ต้องปฏิบัติไปแบบว่า โอ๋ยครูบาอาจารย์ก็น้อยลง

ครูบาอาจารย์น้อยลงก็เป็นสมบัติของท่าน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “อานนท์ เราเอาธรรมะของเราไปองค์เดียวนะ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ร้องไห้ครํ่าครวญอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีคนสั่งคนสอน

อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ธรรมวินัยเราตรัสไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดาของเธอ เวลาเราตายไป เราก็ตายไปเฉพาะคุณธรรมของเราเท่านั้นน่ะ

สิ่งที่ธรรมวินัยที่วางไว้ นี่อํานาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้จะเป็นศาสดาของเรา นี่เต็มตู้เลย เต็มตู้เลย พระไตรปิฎกศึกษาค้นคว้า ถ้ามันเป็นความสงสัย

ถ้าไม่มีความสงสัย เราจะปฏิบัติเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราจะเอาสติตัวจริงๆสติในหัวใจของเรา ถ้ามีสมาธิ จิตนี้สงบแล้วมีความร่มเย็น ถ้ามีปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตของเราเป็นภาวนามยปัญญา

ปัญญาที่ชําระล้างกิเลสไม่ใช่สัญญา สัญญาคือขันธ์  ขันธ์  คือความจําขันธ์  คือเปลือกส้ม ไม่ใช่ส้ม เปลือกส้มขม แต่มันรักษาเนื้อส้มนั้นไว้ ความคิดมันรักษาหัวใจนี้ไว้ หัวใจ จะรู้ว่ามีหัวใจก็ต้องมีความคิด ถ้ามีความคิด เอ๊เราตายหรือเราอยู่ เวลาไม่มีความคิดนะ มันบอก เฮ้ยนี่กูตายแล้วหรือกูยังอยู่

ก็มึงยังอยู่นี่ มึงจะตายไปไหนล่ะ แต่ไม่มีความคิด เห็นไหม มันก็นึกว่าไม่มีจิตไง

จิตมี จิตเป็นจิต ความคิดเป็นความคิด ถ้าเรามีสติปัญญา เรารักษาของเราไป เราดูแลของเราไปอย่างนี้

สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติ อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา แต่เรื่องผลของวัฏฏะเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ผลของวัฏฏะ ผลของการเวียนว่ายตายเกิดของธาตุขันธ์มันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิม มันจะมีของมันเป็นอยู่อย่างนี้

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว มันพ้นจากวัฏฏะ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นความจริงของมัน เป็นความจริงในหัวใจ ประจักษ์เป็นจริงในใจตลอด ประจักษ์ความจริงในใจแล้วไม่เวียนว่ายตายเกิด แล้วมันไปอยู่ไหน รู้โดยสมบูรณ์ รู้โดยสมบูรณ์ในใจดวงนั้น สติปัญญาสมบูรณ์ สมบูรณ์อย่างนั้น ถ้าสมบูรณ์อย่างนั้น เราปฏิบัติเพื่อเหตุนั้นไง

ฉะนั้น มันถึงไม่วิตกกังวลว่าครูบาอาจารย์ท่านจะล่วงไป มันเป็นผลของวัฏฏะเราไม่สามารถเหนี่ยวดวงอาทิตย์ไว้ได้ ดวงอาทิตย์ต้องหมุน โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ไปโดยธรรมชาติ เราเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ไม่ได้ ผลของวัฏฏะ เราเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ แต่เรามีสติมีปัญญาเหนี่ยวรั้งความคิดเราได้ เราควบคุมสติปัญญาของเราเป็นภาวนามยปัญญา เป็นมรรคเข้าไปชําระล้างกิเลสในใจเราได้ เราทําความสะอาดในใจเราได้ มันทําที่นี่ไง

ฉะนั้น สิ่งใดที่มันจะเป็นจางๆ ในใจ...วางไว้ วางไว้ นั้นผลของวัฏฏะ อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ธรรมะไม่มีแก่ไม่มีเฒ่า มีแต่ชีวิตเราจะแก่จะเฒ่า ธรรมะไม่มีแก่ไม่มีเฒ่า ถ้าเข้าไปถึงสัจธรรมอันนั้นมันจะเป็นความจริง

เวลานั่งสมาธิแล้วลูกฝึกหัดพุทโธไปแล้ว ทําสมาธิยังไม่ได้มากนัก ก็มีความคิดแทรกเข้ามา ลูกฝึกหัดโดยสติชัดๆ มันก็ดีขึ้น

แล้วถ้ามันกวนขึ้นมา เขาก็บอกว่าเขามาจ้องดูความคิด ความคิดมันก็ไม่เกิดเวลาพุทโธแล้วมันก็แทรกเข้ามา เวลาจะไปตามความคิด ความคิดมันก็ไม่เกิด

เห็นไหม มันไม่เป็นปัจจุบัน ถ้าเป็นปัจจุบัน พุทโธก็พุทโธอยู่กับปัจจุบัน ไอ้ที่แทรกขึ้นมาคืออดีตอนาคตมาคอยแทรก เวลาจะไปจับความคิด ความคิดมันก็ไม่เกิด เราจะจับความคิด แต่เราไม่จับ เวลาพุทโธมันก็คอยสอดคอยแทรก แล้วเราจะทําอย่างไร เห็นไหม เราจะทําอย่างไรล่ะ

เวลาจับปลาสองมือ เวลาบอกกําหนดพุทโธ เวลาพุทโธนี่พุทธานุสติ ก็ทําไม่ได้ คนไม่เคยทํา ทําไม่ได้ พอทําไม่ได้ขึ้นมาก็ให้กําหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ นั่นเป็นอานาปานสติ เวลากําหนดพุทโธนี่พุทธานุสติ

อ้าวแล้วกิเลสมันหนา มันคอยคิดมาก คนคิดมาก คนต่างๆ เอาไว้ไม่อยู่

เอาไว้ไม่อยู่ มันก็อยู่ที่ว่ามันต้องมีหนักมีเบาไง เวลาเราเอาจริงเอาจังขึ้นมาเราก็พุทโธให้ชัดๆ เอาให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เหมือนจะทานข้าว ทานข้าวก็นั่งลงแล้วทานให้จบ แล้วจะลุกขึ้นไปทํางานอื่นก็ไปทํางานอื่น เวลาไปทํางานอื่นก็ห่วงยังไม่ได้กิน เวลาจะกินแล้วก็อยากจะทํา เลยเอางานมานั่งอยู่บนโต๊ะ ทั้งกินทั้งทําแล้วก็เลยเกลื่อนไปบนโต๊ะนั่นน่ะ ไม่ได้อะไรสักอย่าง นี่ก็เหมือนกัน เราจะพุทโธเราก็พุทโธชัดๆ ถ้ามันจะเอาความคิดก็เอาความคิดชัดๆ

แล้วถ้าบอกว่า เวลาพุทโธมันก็จะคิดแทรก เวลาเรามาตั้งใจจับความคิดความคิดก็ไม่โผล่มาเลย

อ้าวก็นี่ไง ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้แหละ ก็นี่ไง ก็กิเลสไง นี่งานของมันน่ะแล้วกิเลสมันก็ทํางานอย่างนี้ หน้าที่ของกิเลสคือมันทําลายความเพียรของเราเวลาเราปฏิบัติบูชา เราปฏิบัติ เรากําหนดปฏิบัติ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่จิตสงบหรือไม่สงบ เราก็ได้บําเพ็ญเพียร ความบําเพ็ญเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้ามันเพียรชอบ ความเพียรชอบธรรม ถ้าความเพียรชอบธรรม พุทโธๆ มันต้องอยู่ของมันแน่นอน แต่เวลาความเพียรมันไม่ชอบมิจฉาทิฏฐิ

สัมมาทิฏฐิคือมันถูกต้องดีงาม มิจฉาทิฏฐิ เรามีสัมมาทิฏฐิ เรามีความตั้งใจเราปฏิบัติ มันจะเป็นมิจฉาไปไหน มันเป็นมิจฉาตอนกิเลสมันแทรกเข้ามานี่ไงตอนกิเลสมันแทรกเข้ามา เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอกเลย เวลาท่านทําสมาธิของท่าน เวลาท่านพิจารณาของท่าน ท่านปล่อยวางของท่าน นิ่งมากเลยแล้วท่านก็ติดอยู่ตรงนั้นน่ะ

เวลาหลวงปู่มั่นบอกว่า “จิตเป็นอย่างไรมหา

โอ๋ยดีมาก ดีมาก

มันจะดีตายอะไร ยังไม่รู้เลยว่าความสุขแค่นั้นมันความสุขมันเหมือนเศษเนื้อติดฟัน

คําว่า “สุข” เห็นไหม มันสมาธิมันว่าง มันดีหมด มันดีหมด นี่มันดีของเราไงมันดีของเด็กไง หลวงปู่มั่นบอกว่าความสุขอย่างนั้นเป็นแค่ความสุขแบบเศษเนื้อติดฟัน คําว่า “เศษเนื้อติดฟัน” ถ้ามันกินเต็มคํา มันอร่อยกว่านี้

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านบอกว่า “อ้าวถ้ามันไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วสัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นคืออะไร

นั่น เห็นไหม เวลามันเถียง

นี่ก็เหมือนกัน กําหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลามันแทรกขึ้นมางานของมันน่ะ แล้วบอกว่ามันเป็นสัมมาทิฏฐิหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็บอกว่าเราตั้งใจจริง เราทําดี มันเป็นสัมมาทิฏฐิ

สัมมาทิฏฐิ ก็เราคิดไง เราคิดว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ เราคิดว่าถูกต้องดีงามไปหมด แต่เวลากิเลสมันสอดแทรกเข้ามาไง เวลากิเลสมันสอดแทรกเข้ามาไงเพราะอะไร เพราะหลวงตาท่านพูดกับหลวงปู่มั่นไง “ถ้ามันไม่เป็นความดีความงาม แล้วสัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ

หลวงปู่มั่นท่านสวนเลย “สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่มีสมุทัยเจือปนเข้ามา สัมมาสมาธิของท่านมันมีสมุทัย สมุทัย สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามันมีสมุทัยปนเข้ามา มันจะเป็นสัมมาได้อย่างไร

หงายท้องเลย อ้าวก็เราทําเอง เราคิดเองใช่ไหม เราก็ว่าถูกต้องดีงามไปหมดแหละ อ้าวก็เราเป็นคนให้คะแนนตัวเอง ใครมันจะให้คะแนนตัวเองเป็นลบเวลาคะแนน โอ๋ยมันขีดเอาๆๆ เลยล่ะ แต่เวลาความจริงขึ้นมา มันไม่ใช่ให้คะแนนหรือไม่ให้คะแนน มันเป็นตามข้อเท็จจริง ถ้าข้อเท็จจริงนั้นมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ เราก็ต้องแสวงหา ต้องมีการกระทํา ไม่ใช่ว่าเราทําแล้วมันจะดีงามไปหมดไง เราทํานี่เราตั้งใจ คน ใครบ้างไม่อยากเป็นคนดี ใครบ้างไม่ทําความดี ทําดีทั้งนั้นน่ะ แล้วมันประสบความสําเร็จกี่คน ทําแล้วมันสําเร็จได้กี่คน

นี่ก็เหมือนกัน ตั้งใจทั้งนั้นน่ะ อู้ฮูทําดี ทําดีทั้งนั้นน่ะ จะไปพุทโธ แล้วความคิดมันก็แทรกเข้ามา เวลาจะไปจับความคิด ความคิดมันก็ไม่โผล่

เออนี่แหละคือการทํางานของมัน กิเลสมันทํางานอย่างนี้ ถ้ากิเลสมันทํางานอย่างนี้แล้ว ถ้าเราจะสู้กับมัน เห็นไหม นักกีฬา ถ้าวุฒิภาวะอ่อนด้อยกว่า ไปลงแข่งก็แพ้ทุกที ถ้าสติปัญญาเรายังซื่อบื้อ ซื่อบื้อคือเถรตรง ซื่อบื้อคือเถรตรงไง คนเถรตรง ไม่มีอุบายวิธีการเอาตัวรอด เราเถรตรงไปหมด

เวลาสี่แยกไฟแดง ไฟเหลืองไฟแดงมันยิงกันตรงนั้นน่ะ อ้าวมึงเขียว กูแดงมึงแดง กูเขียว ไอ้ไฟก็ยังเปิด ยังเขียวยังแดงอยู่นะ ไฟมันก็ธรรมชาติของมัน ไฟใช่ไหม ถึงเวลามันก็เขียวก็แดง ไอ้คนทิฏฐิมานะมันไปเถียงกันเรื่องเขียวเรื่องแดงมันจะยิงกันตายอยู่นั่นน่ะ จะไปยิงกันตายอยู่ตรงสี่แยกไฟแดงนั่นน่ะ ไอ้ไฟแดงไม่รู้เรื่องนะ ไอ้ไฟแดงยังกระพริบอยู่ ปิ๊บปั๊บๆ ไอ้คนสองคนมันจะยิงกันเพราะไฟแดง

นี่ก็เหมือนกัน มันจะโผล่ ความคิดจะโผล่มาหรือเราจะพุทโธ นั่นน่ะไฟเขียวไฟแดง เพราะอะไร เพราะพุทโธ พุทธานุสติ ไอ้ความคิดโผล่มาก็ปัญญาอบรมสมาธิ ไอ้ไฟเขียวไฟแดงมันเป็นวิธีการ แต่ไอ้คนขับรถมันจะไปจอดสี่แยกแล้วขวางไว้เลย ไฟแดงของกู ไฟแดงของกู มันก็เละน่ะสิ

ถ้าเถรตรง มันปฏิบัติไปแล้วเราเถรตรง กิเลสมันหลอกได้ทุกเรื่อง กิเลสมันหลอกได้ทุกหน้า กิเลสมันหลอกได้ทุกๆ อย่าง จะทําอะไร กิเลสมันสอดแทรกเข้ามาตลอด เห็นไหม เราตั้งใจทําดีนะ เราตั้งใจทํา ดีหมด ตั้งใจวางแผน โอ้โฮทุกอย่างไว้พร้อมหมดเลย แต่ไปทําแล้วกิเลสมันสอดแทรก แล้วเราก็ว่าเราทําถูกต้องทําดีงามแล้วล่ะ แล้วก็น้อยใจ ทําดีแล้วไม่ได้ดี ตั้งใจทําดีเต็มที่เลย แต่มันไม่ได้ดี

แต่ถ้าเราทํานะ เราทําดีทิ้งเหว ปฏิบัติด้วยความจริงจัง ด้วยสติ ด้วยสมาธิด้วยปัญญา ได้ก็สาธุ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ เราก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพยายามทําความเพียรของเรา เราดูแลจิตใจของเรา ถ้ามันสมดุล มันต้องได้ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามันมีเหตุมีผลของมันพอ มันจะไปไหนรอด นี้เหตุของเราไม่พอ แต่เป็นความอ่อนด้อยไง

แต่คนเราถ้ามีความเข้มแข็ง เขาทําของเขาได้นะ เหตุผลมันเพียงพอ มันต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น แต่เหตุผลมันยังไม่เพียงพอ สติ มหาสติ เราแค่ทําสติๆ นะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เวลาท่านผ่านสติไป ไปเจอมหาสตินี่งงนะ

คนไม่เคยเห็นมหาสติจะไม่รู้จักว่าสติกับมหาสติแตกต่างกันอย่างไร คนไม่เคยเห็นปัญญากับมหาปัญญาจะไม่รู้เลยว่าปัญญาเป็นอย่างไร มหาปัญญาเป็นอย่างไร แล้วถ้าปัญญาอัตโนมัติ สติเป็นอัตโนมัติเลย สติเป็นอัตโนมัติเลยนี่มันเป็นอย่างไร คนไม่เคยทําไม่รู้ แต่ถ้าไม่รู้ไม่เคยทํา แล้วเป็นอย่างไร ฉะนั้น ถ้าคนเคยทําแล้วเขารู้ ถ้าเคยทําแล้วรู้ เราก็ทําของเราขึ้นไปให้มันพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าข้อที่ นั่งสมาธิไง เวลาพุทโธ ความคิดก็แทรกเข้ามา เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันก็ไม่มีความคิดมาให้พิจารณาเลย

ถ้าไม่ทําอะไรเลย กิเลสมันก็ว่าเราเป็นคนดี ไม่ทําอะไรเลยนะ เราเป็นคนดีหมด แต่พอจะตั้งใจทํา ทําอะไรไม่ได้เลย ไหนว่าคนดีไง คนดีต้องมีสติ คนดีต้องมีสมาธิ คนดีต้องมีปัญญา ปัญญาทางโลก ปัญญาพยายามรักษาตัวรอด ปัญญาไม่ให้เป็นเหยื่อของสังคม ปัญญาทางธรรม ปัญญาทางธรรมคือการเอาชนะความคิดของตัวเอง

ความคิดของตัวเองมันจะพาให้เราอีลุ่ยฉุยแฉก พาให้เราไปร้อยเล่ห์ นี่เราต้องชนะตัวเอง พอชนะตัวเองแล้วพยายามพิจารณาให้มันสงบระงับ ถ้าสงบระงับแล้วมันจะเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ คนถ้าไม่มีอํานาจวาสนาคิดว่าคือนิพพาน เพราะมันปล่อยหมด มันว่างหมด การปล่อยหมด ว่างหมดนั้น มันต้องมีสติ มหาสติ มันยังมีมหาสติข้างหน้า มันยังมีสติอัตโนมัติอยู่ข้างหน้า แล้วเวลาทําไป ปฏิบัติไป วุฒิภาวะของใจมันสูงขึ้นๆ มันเห็นหมดไง

นี่ไง ย้อนกลับมาหลวงปู่มั่น “ภิกษุทั้งหลาย ให้ประพฤติปฏิบัติมานะ การแก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ

คําว่า “ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” เพราะผู้เฒ่าได้เจอวิกฤติอย่างนี้มาในใจ วิกฤติจริงๆเวลาปฏิบัติ เห็นไหม ธรรมะอยู่ฟากตาย ฟากตายว่า เราต้องมีสติมีปัญญา ต้องเอาชนะตัวเอง แล้วพยายามสร้างสติ สร้างภาวนามยปัญญา เห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง แล้ววิปัสสนาแยกแยะมัน เวลามันขาด เวลามันปล่อยวางก็มหัศจรรย์อยู่แล้ว เวลามันขาดนะ พอเวลามันขาดปั๊บ มันถึงย้อนกลับมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเห็นหัวใจของสัตว์โลกมีค่า

หลวงตานะ เวลาท่านสิ้นกิเลสนะ ท่านออกมาโครงการช่วยชาติฯ ท่านบอกว่า ทําให้ลูกศิษย์เราบอบชํ้าในทางโลก เพราะทางโลกคือเราต้องพยายามหาเงินหาทองมาเพื่อช่วยเหลือจุนเจือชาติ แต่ท่านบอกว่าที่ท่านทํานี้ท่านปรารถนาหัวใจของสัตว์โลก หัวใจนั้นมันขวนขวาย มันทําบุญกุศลของมัน มันสร้างประโยชน์ของมัน ท่านบอกว่าท่านไป ไปเอาหัวใจของสัตว์โลก ไปเอาหัวใจของคน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านสิ้นกิเลส ท่านเห็นหัวใจสําคัญที่สุด ความรู้สึกอันนี้ เวลากิเลสมันบีบคั้นนี่ทุกข์มาก แล้วเวลาถ้ามันชําระล้างกิเลส สํารอกไป มันไปเห็นความมหัศจรรย์ แม้แต่สมาธิมันก็มีความสุข ว่าง เวิ้งว้าง เวลาภาวนามยปัญญา มันสํารอกมันคายนะ สังโยชน์มันขาด

สักกายทิฏฐิ ผู้หญิงไปทําสวยทํางามนั่นน่ะ สักกายทิฏฐิไง ติดในตัวเราไงสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิกายของเราไง หน้าตาของเราไง โอ๋ยเปล่งปลั่งนะ โอ๋ยสุดยอด เวลาถ้ามันไปถึงมันทิ้งหมด ทิฏฐิว่าเป็นของเรา สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิในกายความเห็นในกาย การใช้สอยในเรื่องกาย มันรู้เท่า มันขาด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาสีลัพพตปรามาส ขาดออกไปจากใจ หัวใจที่มันไม่ติดข้องเรื่องนี้ สบายไหม อย่างเรา อย่างพวกโยม ไปไหนโดยที่ว่าทาแป้งแป๊ะๆๆ ไปได้แล้ว ทําไม สวย สวย

ไม่ต้องตึงก็สวย เพราะฉันสวยที่ใจไง เพราะใจกูสวย เพราะใจกูสวย ใจกูไม่ติดพัน ใจกูไม่หวั่นไหว

ถ้าใจกูไม่สวยนะ ใจกูบกพร่องนะ ใครพูดอะไรหวั่นไหวไปหมดเลย สั่นไหวไปหมดเลย ไม่มีใครพูด ลมพัด มันก็กลัวแล้ว กูไม่สวยๆ ลมพัดมามันก็กลัวแล้วแต่สักกายทิฏฐิมันขาด หัวใจกูสวย หน้าตากูเป็นอะไรไม่เกี่ยว หัวใจกูสวย

สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะปฏิฆะอ่อนลง กามราคะปฏิฆะขาดไป รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ขาดไป นี่เวลาประพฤติปฏิบัติไป มันสํารอกมันคายเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น จะย้อนกลับมาไง ย้อนกลับมาว่า เวลากึ่งพุทธกาลแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็ล่วงไป สุดท้ายแล้วเราจะปฏิบัติได้หรือไม่ได้

ธรรมะไม่มีแก่ไม่มีเฒ่า อกาลิโก เรื่องของครูบาอาจารย์ก็เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ เป็นผลของวัฏฏะ เพียงแต่อายุขัยของท่าน เราเจอครูบาอาจารย์ที่ไหนเราเห็นครูบาอาจารย์ที่ไหนเป็นที่พึ่งได้ เราก็ขวนขวายของเรา ขวนขวายเพื่อเป็นที่พึ่งของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง